0 Comments
Posted in Arrangement, Art, Business

ฝังเข็มช่วยรักษาออฟฟิศซินโดรมได้

สายตาจ้องอยู่กับคอมพิวเตอร์นานกว่าวันละ 6 ชั่วโมง จะเกิดความเครียดโดยไม่รู้ตัว เราจะรู้ก็ต่อเมื่อรู้สึกปวดแล้วอาจจะปวดไหล่ ปวดแขน ชาตามนิ้วมือ หรือปวดสะบักเป็นต้น

ฝังเข็มช่วยรักษาออฟฟิศซินโดรมได้

อาจารย์ชัย พนมยันตร์ แพทย์แผนไทยและจีน (ฝังเข็ม) โรงพยาบาลนครธน บอกว่า “ออฟฟิศซินโดรมเกิดจาก เส้นที่ลม หรือชี่จะพาไปไม่ได้ มันติดขัด ถ้าเราทำให้มันโล่ง มันก็ไม่ติดขัด มันก็หายเจ็บ เดี๋ยวนี้คนมักจะเป็นโรคไอแพดด้วยเพราะสายตากับนิ้วจ้องมากเกินไปแล้วทางการ แพทย์แผนจีนบอกว่าการใช้สายตามาก เป็นผลต่อตับ บางคนมีอาการปวดศีรษะ ตาลาย แต่บางคนที่ปวดท้องด้วยนั้นจะมาจากความเครียด ส่งผลต่อกระเพาะอาหาร บางคนเพียงแค่ตื่นเต้นเล็กน้อยก็ท้องเสียโรคเครียดยังจะรบกวนการนอน ทำให้นอนได้ไม่ดีแต่อาการเหล่านี้ก็รักษาได้”

การฝังเข็ม เป็นการกระตุ้นเส้นประสาทและเลือดลมให้ไหลเวียน ทำให้กล้ามเนื้อที่บีบรัดตัวอยู่เกิดการคลายตัว เพื่อส่งผลให้เส้นเลือดที่อยู่ในบริเวณกล้ามเนื้อนั้นมีการไหลเวียนได้ดี ขึ้น พูดถึงความเจ็บในการฝังเข็ม ส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกเจ็บเล็กน้อย หรือไม่เจ็บเลยก็มี และจะรู้สึกถึงอาการตื้อหนัก ร้าว เมื่อจุดฝังเข็มไปตามทางเดินของเส้นลมปราณ

นอกจากนี้สำหรับคนที่น้ำในร่างกายน้อย ปากจะแห้งแก้มจะแดง สองอุ้งมืออุ้งเท้าบางครั้งมีเหงื่อออกที่หน้าอกร้อนก็สามารถมาฝังเข็มเพื่อ ปรับอุณหภูมิร่างกายให้สมดุล เช่นเดียวกันกับการฝังเข็มที่สามารถรักษาได้อีกหลายอาการ ซึ่งสามารถแวะไปปรึกษากับคุณหมอก่อนได้ที่โรงพยาบาลนครธน ทุกวันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์ และอาทิตย์โทร. 0 2450 9999, 0 2895 4000

TIPS

การตรวจแบบจีน คือ จับชีพจร ตรวจดูลิ้น มองดูสีหน้า ฟังเสียง และกดที่ไหล่ และต้นคอดูความแข็งของกล้ามเนื้อ

• ออฟฟิศซินโดรม ควรฝังเข็มติดต่อกันอย่างน้อย 6 ครั้ง ความถี่ในการฝังก็ขึ้นอยู่กับอาการ และความเห็นของแพทย์หากอาการดีขึ้น แล้วเรายังต้องทำงานท่าเดิมซ้ำๆ ใช้กล้ามเนื้อหนัก ก็อาจกลับมาเป็นได้อีก ก่อนฝังเข็ม ควรเตรียมสุขภาพร่างกายให้พร้อม โดยรับประทานอาหารก่อน 1-2 ชั่วโมง และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ เคล็ดลับสุขภาพดี สร้างเสริมสุขภาพ จาก W+

 
0 Comments
Posted in Arrangement, Art, Business

รับมือกับอาการปวดประจำเดือน

เมื่อย่างเข้าสู่วัยที่มีประจำเดือน หลายคนอาจเจอกับปัญหาการปวดประจำเดือน ซึ่งอาการเหล่านั้นอาจรบกวนหรือส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ จาก ข้อมูลโดยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในนักศึกษาหญิงจำนวนกว่า 700 คน พบว่า 78% มีอาการปวดประจำเดือน และมากกว่า 60% ของกลุ่มนี้ยอมรับว่าอาการปวดส่งผลต่อสมาธิในการเรียน ซึ่งวัยรุ่นเป็นช่วงที่ร่างกายและฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นการมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง จะเป็นการเตรียมความพร้อมให้ตัวเองได้ก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์ ทั้งสุขภาพกาย และใจ มีความมั่นใจในการทำภารกิจสำคัญต่างๆ และไม่สูญเสียโอกาสที่จะได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองชื่นชอบ เพราะร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์คือหัวใจสำคัญของการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ของวัยเรียนรู้

รับมือกับอาการปวดประจำเดือน‘นพ.พิชัย คณิตจรัสกุล’ ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า “วัยรุ่นเป็นวัยแห่งการเริ่มต้นเรียนรู้การใช้ชีวิตที่ต้องการความพร้อมทั้ง ทางร่างกายและจิตใจ ดังนั้นการดูแลสุขภาพอนามัยอย่างถูกวิธีจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะวัยรุ่นหญิงที่มีพัฒนาการทางร่างกายและอารมณ์ที่เปลี่ยนไป เช่น การเจริญเติบโตทางร่างกาย การมีประจำเดือน และกลุ่มอาการอื่นๆ ที่อาจจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ในวัยเรียนก็อาจต้องขาดเรียนหรือขาดสอบ และในวัยผู้ใหญ่ก็อาจส่งผลกระทบต่อการ

ทำงานได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและอารมณ์เกิดขึ้นก่อนมีรอบเดือน เรียกว่ากลุ่มอาการผิดปกติก่อนมีรอบเดือนหรือ พีเอ็มเอส (PREMEN STRUAL SYNDROME) มีผลกระทบทั้งด้านร่างกายและอารมณ์ โดยอาการทางร่างกายที่อาจพบได้คือ เจริญอาหาร ตัวบวม ปวดหัว ปวดเมื่อย อ่อนเพลีย ส่วนอาการทางอารมณ์ เช่น ซึมเศร้า โกรธง่าย วิตกกังวล ไม่อยากเข้าสังคม ซึ่งถ้าหากอาการเหล่านี้มีความรุนแรงมากขึ้น ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยอย่างถูกวิธี”

โดยผู้หญิงทุก คนสามารถเริ่มต้นดูแลตัวเองง่ายๆ ด้วยการสังเกตอาการปวดประจำเดือนของตนเองก่อนว่ามีความผิดปกติหรือไม่ เพราะโดยทั่วไปแล้วอาการปวดประจำเดือนนั้นมีอยู่ 2 ชนิดได้แก่

ปวดประจำเดือนปฐมภูมิ เป็น อาการปวดเกร็งบริเวณท้องที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีรอบเดือน โดยไม่ได้มีโรคหรือความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้น และอาจมีอาการอื่นเกิดขึ้นร่วมด้วย เช่น อารมณ์เปลี่ยนแปลง อ่อนเพลีย ปวดหลัง ปวดศีรษะ บวมน้ำ ท้องเสีย คลื่นไส้ ซึ่งวิธีดูแลตัวเองที่ ถูกต้องได้แก่ การออกกำลังกาย รับประทาน ยาบรรเทาปวด รวมถึงการประคบด้วยกระเป๋า น้ำร้อน เป็นต้น

ปวดประจำเดือนทุติยภูมิ เป็น อาการปวดที่เกิดจากความผิดปกติของมดลูกหรือรังไข่ เช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis) เป็นต้น มักจะมีอาการปวดครั้งแรก เมื่ออายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป โดยก่อนหน้านี้จะไม่เคยมีอาการปวดประจำเดือนมาก่อนจึงควรปรึกษาแพทย์ ในกรณีปวดรุนแรง กินยาบรรเทาปวดแล้วไม่ทุเลา กดถูกเจ็บ มีไข้ ตกขาว หรือมีประจำเดือนออกมากกว่าปกติ

วิธีการดูแลตัวเองเพื่อลดอาการ ปวด ประจำเดือน สามารถทำได้โดยการประคบถุง น้ำร้อนควบคู่ไปกับการดื่มน้ำอุ่นๆ รับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อชดเชยการเสียเลือดมากในช่วงมีประจำเดือน หรือรับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีอาการปวดหรือรู้สึก ไม่สบาย รวมทั้งรู้จักวิธีผ่อนคลายตัวเอง เช่น ออกกำลังกายเป็นประจำ การฝึกหายใจ เล่นโยคะ ฯลฯ เพียงเท่านี้ปัญหาจากการปวดประจำเดือนก็จะไม่มากวนใจคุณได้อีก

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ สุขภาพคุณผู้หญิง จาก เปรียว
0 Comments
Posted in Arrangement, Art, Business

เคล็ดลับ 5 ดู น้ำดื่ม น้ำแข็ง และไอศกรีมฤดูร้อน

การดำเนินชีวิตประจำวันในทุก วันนี้ เราต้องเรียนรู้เพื่อให้เป็นผู้บริโภค ฉลาดที่จะเลือกซื้อ เลือกใช้ เลือกผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณค่าและคุณภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เราขอนำเคล็ดลับ 5 ดู น้ำดื่ม น้ำแข็ง และไอศกรีมฤดูร้อนให้ปลอดภัย

เคล็ดลับ 5 ดู น้ำดื่ม น้ำแข็ง และไอศกรีมฤดูร้อน

1 ดูฉลาก น้ำ แข็งหลอดควรสังเกตรายละเอียดบนฉลาก ดูเครื่องหมาย อย. พร้อมเลขสารบบอาหาร 13 หลัก วันเดือนปีผลิต หรือวันหมดอายุ ชื่อผลิตภัณฑ์ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต และข้อความว่า "น้ำแข็งใช้รับประทานได้" ด้วยตัวอักษรสีน้ำเงิน

2 ดูลักษณะอาหาร ต้องสะอาด ไม่มีสี กลิ่น รส ผิดปกติ และไม่เหลว หรือมีลักษณะเหมือนเคยละลายมาแล้ว

3 ดูภาชนะบรรจุ ควร เลือก เครื่องดื่ม บรรจุในภาชนะที่สะอาดและปิดสนิท ไม่รั่วซึม หรือมีรอยสกปรก และไม่มีร่องรอยการเปิดใช้ น้ำที่บรรจุอยู่ในภาชนะต้องใสสะอาด ไม่มีตะกอน ไม่มีสี กลิ่น หรือรสที่ผิดปกติ

4 ดูการเก็บอุปกรณ์ สำหรับน้ำแข็งหลอดตักขายตามร้านค้า ที่ไม่มีฉลาก จึงควรสังเกตสถานที่เก็บน้ำแข็งว่า อยู่ในที่สะอาดเหมาะสมหรือไม่ รวมทั้งภาชนะที่ใส่น้ำแข็งต้องถูกสุขลักษณะไม่ปนเปื้อนกับอาหาร

5 ดูผู้ขาย ทั้ง ผู้บริโภคต้องดูสุขลักษณะ ของผู้ขายด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเล็บมือ การ แต่งกาย ภาชนะที่ใส่ไอศกรีมก็ต้องสะอาดด้วย

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ เคล็ดลับสุขภาพดี สร้างเสริมสุขภาพ จาก MCOT

ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.thinkstockphotos.com
0 Comments
Posted in Arrangement, Art, Business

10 เคล็ดลับ เพิ่มระบบเผาพลาญในร่างกาย

ถ้าสาวๆ อยากจะเพิ่มเมตาบอลิซึ่มในร่างกาย เพื่อเพิ่อระบบเผาผลาญในร่างการให้เร็วขึ้น เรามี 10 วิธีง่ายๆ มาแนะนำ รับรองว่า คุณจะต้องชอบ เพราะดีกับสุขภาพและทำให้คุณลดน้ำหนักได้ด้วยนะค่ะ

การเพิ่ม Metabolism ทำให้มีการเผาผลาญแลอรี่มากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายใช้พลังงานจากอาหารและอาหารเสริมที่คุณทานเข้าไปด้วย ทำให้คุณอยากดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้น และน้ำที่คุณดื่มยังช่วยสนับสนุนการขับพิษ การขับถ่ายและการย่อยอาหารในร่างกายอีกด้วย และนี่เป็น 10 วิธีที่จะช่วยให้คุณเพิ่มอัตราการเผาพลาญพลังงานค่ะ

10 เคล็ดลับ เพิ่มระบบเผาพลาญในร่างกาย

1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ “ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อเรียบ มาก ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานมาก” การยกดัมเบลล์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่ม เหมือนกัน และช่วงที่ระดับเมตาบอลิซึ่มคุณจะพุ่งสุดขีดนั่นเอง ไม่ใช่ตอนที่คุณวิ่งหอบแฮกๆ บนสายพานหรอกนะค่ะ แต่หลังจากนั้นอีกสัก 2- 3 ชม.ค่ะ

2. ขยับตัว อยากจะเผาผลาญแคลอรี่ให้เร็วที่สุด ก็ต้องออกกำลังกายอย่างน้อย ออกเดิน 30 นาที หรือ 1 ชม. วิ่งเหยาะๆ หรือเต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบไหนก็ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มทั้งนั้นล่ะ ให้หัวใจได้เต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที ให้ต่อเนื่องนานสัก 30-45 นาที

3. กินบ่อยๆ ยิ่งร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อก็จะล้า การเผาผลาญก็จะน้อยลง ทางที่ดีกินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ ยังดีกว่าอดอาหารไปเลย

4. งดน้ำตาล เหตุผลง่ายๆ ก็คือ น้ำตาลที่เหลือใช้แล้ว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นไขมัน เพราะฉะนั้น ลดน้ำตาล ก็จะช่วยลดไขมันไปในตัว

5. กินอาหารเช้า เป็น ความจริงที่ว่า คนที่กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ หุ่นดีกว่า คนที่อดข้าวเช้า และอาหารเช้ายังทำให้ระดับ เมตาบอลิซึ่ม ของคุณวันนั้นพุ่งเป็น 2 เท่าด้วย

6. กินอาหารเผ็ดร้อน อาหารประเภทเผ็ดร้อน รสจัด จะช่วยเร่งการเผาพลาญร่างกายของคุณจากภายในให้เร็วยิ่งขึ้นไปอีก

7. ดื่มชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดีและปลอดภัยกว่ากาแฟ แถมมีประโยชน์อีกด้วย

8. ดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยขับสารพิษ หลังจากที่ร่างกายเผลาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็นๆ ยังช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มทำงานดีขึ้นนิดหนึ่งด้วย

9. อย่าเครียด ความเครียดจะทำให้เราอ้วนขึ้น เพราะฮอโมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตราดูซึมของเมตาบอลิซึ่มช้าลง

10. นอนหลับ ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเรา จะทำงานเผาผลาญแคลอรี่ ได้ดีที่สุดในชั่วโมงหลังๆ ที่เราหลับสนิทเต็มที่คะ

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ เคล็ดลับสุขภาพดี สร้างเสริมสุขภาพ จาก W+
0 Comments
Posted in Arrangement, Art, Business

คุณทานผัก พอแล้วหรือยัง

คุณทานผัก พอแล้วหรือยัง

ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งของพฤติกรรมการทานผักของคนไทย พบว่าคนทำงานอายุ 20-40 ปี ส่วนใหญ่ทานผักน้อยกว่าที่ควรจะเป็น 100 กรัม นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเด็ก ๆ ที่ชอบกินแต่ขนม หรือน้ำอัดลม จนตัวอ้วนกลม คงจะน้อยอย่างน่าตกใจแน่ ๆ


รู้กันว่า ควรทานผักให้ได้อย่างน้อย 350 กรัมใน 1 วัน หรือเท่ากับ 5 กำมือ ที่สำคัญควรทานคละ ๆ กันไป ทั้งผักใบเขียว เหลือง ส้ม เพื่อเสริมสมดุลของกันและกัน

มาดูกันว่า สารอาหารในผักชนิดใด ที่ร่างกายเราต้องการบ้าง

สารอาหารสำคัญที่อยู่ในผัก และพร้อมดูดซึมได้ทันที ได้แก่

แคลเซียม เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน และการทำงานของหัวใจ วิตามินดี พบมากในเห็ด และแสงแดดยามเช้า จะช่วยดูดซึมแร่ธาตุชนิดนี้ได้ดี

วิตามินบี คอมเพล็กซ์ (B Complex) เสริมสร้างพลังงานในร่างกาย และจำเป็นต่อการสร้างเซลล์ พบมากในกระเทียม, ถั่วแขก, ถั่วยาง (ถั่วชนิดหนึ่งคล้ายถั่วฝักยาว)

วิตามิน ดี D พบมากในเห็ด ช่วยในการดูดซึมแคมเซียม ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูก ฟัน และการทำงานของหัวใจ

เหล็ก ช่วยลำเลียงออกซิเจนในเลือด ป้องกันโรคโลหิตจาง พบมากในผักจำพวกผักโขม, ผักสลัด


วิตามินซี C
ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และยังเกี่ยวข้องกับคอลาเจนในผิว พบมากในผักจำพวกมะเขือเทศ, พริกหยวก, มะระ

ไฟโตเคมิคอล มีคุณสมบัติช่วยปกป้องร่างกายจากอนุมูลอิสระ ที่รู้จักกันดี อย่างเช่น สารไลโคปีนในมะเขือเทศที่ผ่านการปรุงอาหาร สารลูทีนในผักโขม เป็นต้น

แมกนีเซียม ช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ และระบบประสาท พบมากในมันฝรั่ง, กระเจี๊ยบ

เบต้าแคโรทีน มีมากในผักที่มีสีเหลือง-ส้ม ช่วยบำรุงสายตา ผิวพรรณ และช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้สูงขึ้นด้วย

วิตามินอี E ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เม็ดเลือกแดงแข็งแรง พบมากในฟักทอง ข้าวโพด

โปแทสเซียม คอยควบคุมความสมดุลของน้ำในร่างกาย รักษาความดันโลหิต ช่วยให้เลือดแข็งตัวได้เร็วขึ้น พบมากในแตงกวา, มะเขือม่วง,พริกขี้หนู

ไฟเบอร์ หรือใยอาหาร แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่ละลายในน้ำ จะมีประโยชน์ในการรักษาสุขภาพ ส่วนชนิดที่ไม่ละลายในน้ำ จะช่วยในการขับถ่ายให้เป็นปกติ

สารอาหารที่อยู่ในผัก ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ยิ่งทานผักเยอะ ก็ดีต่อร่างกายมากขึ้นเท่านั้น

หันมาทานผักเพื่อสุขภาพกันเถอะ

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ เคล็ดลับสุขภาพดี สร้างเสริมสุขภาพ จาก Never-Age
0 Comments
Posted in Arrangement, Art, Business

ตัวเลือกอาหารเช้าสำหรับการไดเอท

ตัวเลือกอาหารเช้าสำหรับการไดเอท

ในทุกเช้าที่คุณต้องไปทำงาน อาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมาก เพราะคุณต้องใช้พลังงานจากอาหารมือนี้ในใช้ชีวิตเป็นหลัก แต่ในอีกมุมกลับกัน ทุกๆเช้าก็เป็นช่วงที่เร่งรีบฝ่าการจราจรที่ติดขัด ฝ่าผู้คนมากมาย ต้องไปให้ถึงที่ทำงานทันเวลา อาหารมือเช้าที่จะเป็นไปได้ที่จะลงกระเพราะก็คงหนีไม่พ้น ข้าวเหนียวหมูย่าง ปาท่องโก๋ หรืออาหารตามข้างทางทั่วไปในทางผ่านระหว่างไปทำงาน ซึ่งอาหารเหล่านี้ ล้วนอุดมไปด้วยไขมันทั้งนั้น สำหรับคุณผู้หญิงที่อยากจะไดเอทแล้ว คงเป็นเรื่องยาก ที่จะหาอาหารเช้าที่เหมาะกับการไดเอทมารับประทาน ลองดูตัวเลือกดีๆ ของอาหารเช้า 4 สิ่งนี้ก่อน อาหารไดเอทง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณไดเอทได้ง่ายขึ้นค่ะ


ตัวเลือกอาหารเช้าสำหรับการไดเอท-2

1. ไข่คนโรยพริกป่น


ไข่ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนแม้ในขณะที่คุณต้องการลดน้ำหนัก โปรตีนและไขมันบ้างเพื่อช่วยในการเสริมสร้างสุขภาพที่ ดี แต่วิธีที่จะสามารถเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น ก็คือ สาร capsaicin ในพริกป่นนี่เอง ใส่พริกป่นในปริมาณที่คุณจะรับความเผ็ดได้นะคะ ไม่เช่นนั้นอาจทำให้คุณปวดท้องได้


ตัวเลือกอาหารเช้าสำหรับการไดเอท-3

2. ปลาทูน่ากระป๋อง

ซื้อปลาทูน่ากระป๋องจากซุปเปอร์มาร์เก็ตติดไว้ก็ดีนะคะ นอกจากจะได้รับโปรตีนที่ดีแล้ว ยังจะช่วยให้ได้ โอเมกา-3ในมือเช้าของคุณอีกด้วย และไม่เพียงเท่านั้น มันยังจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้อีก ร้อยละ 26 ลอง ใส่ปลาทูน่าลงข้อ 1 ก็ได้นะคะ อร่อยไปอีกแบบ

 

ตัวเลือกอาหารเช้าสำหรับการไดเอท-4

3. ชาเขียว


หากใครบางคนติดกาแฟอยู่ อยากจะให้เปลี่ยนของในแก้วจากกาแฟเป็นชาเขียวดูบ้างค่ะ ไม่เพียงแต่ชาเขียวจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระแต่ยังสามารถเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่าง กายของคุณเพิ่มขึ้นได้ถึงร้อยละ 4.6 ในขณะเดียวกัน ถ้าหากคุณดื่มกาแฟ คุณจะต้องดื่มกาแฟถึง 2 แก้ว เพื่อที่จะช่วยในการเผาผลาญพลังงานที่เทียบเท่ากับชาเขียว หรือหากคุณต้องการความสดชื่น ลองเติมน้ำมะนาวลงไปก็ได้ค่ะ


 

ตัวเลือกอาหารเช้าสำหรับการไดเอท-5

4. โยเกิร์ต


ในโยเกิร์ตมีวิตามิน D สูง ซึ่งวิตามิน D นี้จะช่วยดูดซึมแคลเซียมจากอาหารที่คุณทานเข้าไป แต่จากการวิจัยในประเทศอเมริกา พบว่า วิตามิน D นั้น ไม่ได้เพียงแต่จะช่วยดูดซึมวิตามิน D เพียงอย่างเดียว แต่ยังจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันอีกด้วย เวลาเลือกทานต้องเลือกแบบรสธรรมชาติปราศจากน้ำตาลด้วยนะคะ


หาไม่ยากเลยใช่ไหมล่ะคะ ยังไงก็ลองหาซื้อไว้ติดตู้เย็นไว้ก็ดีค่ะ


ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ การลดความอ้วนและลดน้ำหนัก จาก สนุกดอทคอม

0 Comments
Posted in Arrangement, Art, Business

6 วิธีลดอาการอยากของหวาน

6 วิธีลดอาการอยากของหวาน


ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำวิธีไดเอ็ทด้วยการเอาชนะความอยากทานหวานและเค็ม


ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในระหว่างไดเอ็ทอย่างหนัก นั่นก็หมายความว่าคุณกำลังอยู่ในช่วงต้องตัดลดปริมาณการรับประทานรสหวานและรสเค็มลงให้ได้ ซึ่งการลดความอยากกินรสชาติอันยั่วยวนทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะฉะนั้นนายแพทย์ Mehmet Oz หรือที่รู้จักกันในนาม Dr. Oz ผู้เชี่ยวชาญและมีชื่อเสียงในวงการแพทย์รวมถึงยังเป็นนักแต่งหนังสือ ก็ได้มาให้คำแนะนำที่มีประโยชน์ ที่จะช่วยให้คุณสามารถลดความอยากทานทั้งสองรสชาตินี้ลงได้ ซึ่งก็จะนำไปสู่หุ่นอันผอมเพรียวที่หวังไว้ในที่สุด!

เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา เว็บไซต์ That's Fit ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพได้ รายงานว่าความปรารถนาอยากรับประทานอาหารนั้นมีความคล้ายคลึงกับความปรารถนา ในเรื่องของเพศสัมพันธ์ Dr. Oz บอกว่ามันก็คือความต้องการทางด้านชีวภาพในการที่จะรักษาและบำรุงเลี้ยงดู ระบบการทำงานในหลายๆ ระดับ และทั้งสองอย่างนี้จะผิดพลาดไม่ได้เพราะเป็นสองสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด ต่อสายพันธุ์มนุษย์ของเรา

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือเรามักจะมีความอยากทานเค้กช็อกโกแลตหรือวัฟเฟิ่ล มากกว่าที่จะไปโหยหาผักโขมหรือถั่วงอกนี่น่ะสิ แถมการที่จะเสริมสร้างพลังต่อต้านความอยากเหล่านั้นถ้าจะเปรียบเทียบไปแล้ว ก็จะคล้ายๆ กับการพยายามจะกลั้นหายใจใต้น้ำตลอดชั่วกัลปาวสาน เพราะฉะนั้น Dr. Oz ถึงได้บอกว่า คุณจะต้องมีการวางแผนที่ดี และต่อไปนี้คือคำแนะนำอันมีค่า

1. รู้จักความปรารถนาของตัวเอง

Dr. Oz บอกว่าทุกคนมีความอยากอาหารที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นก็ให้คอยดูว่าอะไรที่จะกระตุ้นต่อมอยากอาหารของคุณ​และก็พยายาม อยู่ห่างมันให้มากที่สุด สำหรับ Dr. Oz แล้ว ของโปรดของเขาก็คือถั่วเคลือบช็อกโกแลต ที่เขาบอกว่าเขากินมันได้ครั้งละเป็นแกลลอนๆ เลย แถมยังกินได้ไม่หยุดอีกด้วย เพราะฉะนั้นเขาก็เลยพยายามไม่ไปอยู่ใกล้ๆ มัน และหลีกเลี่ยงให้ไกลที่สุดถ้าทำได้

2. เก็บอาหารประเภท ‘junk food' ออกจากบ้านให้หมด
Dr. Oz แนะนำว่าให้เก็บเอาอาหารขยะทั้งหลายออกจากบ้าน ออกจากสายตา และออกจากความคิดให้หมดเกลี้ยง อย่าไปคิดถึงมันเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้ามันยากเกินจะทำและเกิดเผลอคิดถึงมันขึ้นมาสักครั้งล่ะก็ ก็ให้ไปที่ร้านและซื้อมาปลอบประโลมความอยากของตัวเองแค่ชุดเดียวก็พอ!


3. ลองหาของทดแทนที่ดีต่อสุขภาพ
นั่นก็หมายถึงทดแทน ความอยากทานของหวาน ด้วยการทานผลไม้อย่าง อินทผลัม องุ่น หรือผลมะเดื่อแทน หรือถ้าอยากจะทานอะไรที่เป็นครีมข้นๆ ก็ลองเลือกโยเกิร์ตแบบไขมันต่ำ ถ้าคุณนึกอยากทานอะไรเค็มๆ ก็หาแตงกวาดองมาทานแทน


4. ตั้งข้อแม้กับตัวเอง
ให้ลองทำใจเย็นๆ และอดทนกับความรู้สึกอยากทานอะไรสักอย่างให้ได้ประมาณหนึ่งชั่วโมง ถ้าความปรารถนานั้นยังแรงกล้ายากที่จะดับได้ ก็ให้ทานสิ่งที่อยากทานเข้าไปได้เล็กน้อย Dr. Oz บอกว่าปกติแล้วความอยากอาหารจะอยู่ได้แค่ประมาณ 20-30 นาที เพราะฉะนั้นถ้าเวลาผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง ก็แสดงว่าคุณก็น่าจะทนมันได้แล้ว


5. หาอะไรล้างปาก

ด้วยการแปรงฟันหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพราะว่าหลังจากทำสองสิ่งนี้แล้ว อาหารชนิดไหนก็ไร้รสชาติทั้งนั้นถ้าคุณยังมีรสมินท์หลงเหลืออยู่ในปาก


6. โทร.หาเพื่อน
บางครั้งความอยากอาหารของคุณจะเกิด จากความเครียดหรืออารมณ์ประเภทอื่นๆ ลองคุยกับเพื่อนสนิทสักคนที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะคุยด้วย แทนที่จะหันไปแก้ปัญหาด้วยการตักไอศกรีมใส่ปาก

นอกจาก 6 ข้อที่กล่าวมาแล้ว Dr. Daniel G. Amen แพทย์และนักเขียนหนังสืออีกคนหนึ่งก็ให้ความเห็นว่าควรจะรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณด้วยการรับประทานอาหารเช้า และอยู่ห่างจากคาร์โบไฮเดรต เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว และพาสต้าต่างๆ เช่นเดียวกับการหลีกให้ไกลจากวัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาล ที่จะยิ่งทำให้ความอยากอาหารรุนแรงขึ้นไปอีก

ขอขอบคุณบทความดีๆเกี่ยวกับ การลดความอ้วนและลดน้ำหนัก จาก VOICEtv